ดาเวา ประเทศฟิลิปปินส์ เกษตรกร องค์กรภาคประชาสังคม นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบายจากทั่วภูมิภาคเอเชีย ได้มาร่วมกันในการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคครั้งสำคัญ ระหว่างวันที่ 7–9 เมษายน 2568 ภายใต้หัวข้อ “อนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ของเรา เพื่อความมั่นคงทางอาหาร: การประชุมว่าด้วยสิทธิของเกษตรกรในการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์” ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์กรริเริ่มระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมพลังชุมชน (SEARICE) โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ EarthCare ตลอดระยะเวลา 3 วัน ผู้แทนจำนวน 69 คนจาก 11 ประเทศ ได้ร่วมมือกันแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางการแก้ไขปัญหาสำคัญด้านการอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ สิทธิของเกษตรกร และการเกษตรที่ยั่งยืน
เกษตรกรภายใต้ภัยคุกคาม: การเกษตรเชิงอุตสาหกรรมกับการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม
ในปาฐกถาสำคัญ ดร.หยี่ชิง ซ่ง ผู้ก่อตั้งเครือข่ายเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกรจีน (Farmers’ Seed Network – FNS) ได้เน้นย้ำถึงองค์ประกอบหลักสามประการของเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ อาหาร และเกษตรกร โดยเฉพาะบทบาทสำคัญของเกษตรกรรายย่อยซึ่งมักถูกมองข้าม ทั้งที่พวกเขาคิดเป็นประชากรถึงร้อยละ 40 ของโลก และมากกว่าร้อยละ 70 ของกลุ่มนี้ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในความยากจนขั้นรุนแรง ดร.ซ่งยังได้เตือนถึงวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพทางการเกษตรที่กำลังลดลงอย่างน่าตกใจจากระบบเกษตรเชิงอุตสาหกรรม โดยเปิดเผยว่า ประเทศจีนได้สูญเสียสายพันธุ์พืชถึงร้อยละ 71.8 ระหว่างปี 2497 ถึง 2558
โนริ อิกนาซิโอ ผู้อำนวยการบริหารของ SEARICE ได้สะท้อนความกังวลนี้ โดยเน้นย้ำถึงสถานการณ์ที่น่าหวั่นวิตกจากการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์อย่างเข้มข้น ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงสองบรรษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดเมล็ดพันธุ์โลกถึงร้อยละ 40 ขณะที่เกษตรกรรายย่อยในประเทศกำลังพัฒนายังคงเป็นผู้จัดหาเมล็ดพันธุ์ถึงร้อยละ 80 จึงเรียกร้องให้มีนโยบายที่สนับสนุนทั้งระบบเมล็ดพันธุ์อย่างเป็นทางการและระบบเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ต่อต้านกฎหมายที่จำกัดสิทธิ: เกษตรกรลุกขึ้นสู้
ในการเสวนาเรื่องแนวโน้มและประเด็นปัจจุบันที่ส่งผลต่อระบบเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกร วิทยากรหลักได้แบ่งปันประสบการณ์การต่อสู้กับกฎหมายแปรรูปเมล็ดพันธุ์ที่มีลักษณะเป็นการแปรรูปเป็นของเอกชน ซึ่งกลายเป็นการทำให้การเกษตรแบบดั้งเดิมกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เหงียน อันห์ ดุง แห่งชมรมเมล็ดพันธุ์ดิ่งอาน ประเทศเวียดนาม ได้เล่าว่า กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาฉบับปี 2549 ของเวียดนามเกือบทำให้ชมรมเมล็ดพันธุ์ชุมชนต้องล่มสลาย และทำให้เกษตรกรต้องหันมาคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ที่ทนทานขึ้นด้วยตนเอง ในทำนองเดียวกัน ลุตฟียาห์ ฮานิม จากประเทศอินโดนีเซีย ได้เปิดโปงว่า กฎหมายเมล็ดพันธุ์หมายเลข 12/1992(2535) เคยนำไปสู่การดำเนินคดีเอาผิดเกษตรกรที่แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน แม้จะมีคำพิพากษาบางส่วนที่เป็นคุณแก่เกษตรกรในปี 2556 ก็ตาม
ทนายเอลปิดิโอ เปเรีย ที่ปรึกษากฎหมายของ SEARICE ประณามกฎหมายและนโยบายของรัฐที่ทำให้เกษตรกรกลายเป็นอาชญากร พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการส่งเสริมระบบเมล็ดพันธุ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนฐานราก ซึ่งบูรณาการทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน แนวทางนี้เป็นการต่อต้านการผูกขาดเมล็ดพันธุ์โดยบรรษัทขนาดใหญ่ เปิดทางให้เกษตรกรเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ที่หลากหลายและเหมาะสมกับท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมการทำเกษตรเชิงนิเวศที่ยั่งยืนและมีความยืดหยุ่นสูง
ทางออกของรากหญ้า: ธนาคารเมล็ดพันธุ์ เกษตรนิเวศ และการรู้รับปรับตัว
เพื่อส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของและการควบคุมทรัพยากรเมล็ดพันธุ์ ชุมชนท้องถิ่นจึงได้จัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ของตนเองขึ้น เป็นทางเลือกแทนอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในระบบทางการ ความริเริ่มจากฐานรากหญ้านี้เป็นการต่อต้านการผูกขาดเมล็ดพันธุ์โดยบรรษัท ผ่านการอนุรักษ์ความหลากหลายของเมล็ดพันธุ์ และเสริมพลังให้ชุมชนได้ทวงคืนสิทธิในการกำหนดระบบอาหารของตนเอง
ผู้เข้าร่วมได้นำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของโครงการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน อาทิ:
- โครงการ MASIPAG (ฟิลิปปินส์) พัฒนาสายพันธุ์ข้าวกว่า 2,300 สายพันธุ์ผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์โดยเกษตรกร
- ธนาคารพันธุกรรมแห่งชาติลาวสามารถอนุรักษ์พันธุ์ข้าวเหนียวไว้ได้ถึงร้อยละ 85 ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร
- โครงการ FSN ของจีนให้การสนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชนจำนวน 50 แห่ง ที่สามารถอนุรักษ์พันธุ์พืชท้องถิ่นดั้งเดิมได้มากกว่า 4,000 สายพันธุ์
- พื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมมันฝรั่งในเปรู (Potato Park) ที่ดำเนินการโดยกลุ่มชนพื้นเมือง ช่วยปกป้องสายพันธุ์มันฝรั่งกว่า 1,400 สายพันธุ์
- ศูนย์วิจัยเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นโดยชุมชน (CONSERVE) ภายใต้การดำเนินงานของ SEARICE สามารถอนุรักษ์สายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองกว่า 800 สายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่เกษตรกรพัฒนาขึ้นอีก 300 สายพันธุ์
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ออกศึกษาดูงานภาคสนามในพื้นที่จังหวัดนอร์ธโคตาบาโต เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยได้เยี่ยมชมธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน ฟาร์มเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสาน สถานีเพาะพันธุ์พืชของเกษตรกร รวมถึงโครงการเกษตรยั่งยืนของรัฐบาลท้องถิ่น (LGUs) ซึ่งช่วยเติมเต็มความรู้และเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสกับแนวทางอนุรักษ์ทรัพยากร ตลอดจนความร่วมมือกับภาครัฐในระดับท้องถิ่นอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ข้อเรียกร้อง: เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน รณรงค์เพื่อผลักดันนโยบายที่เอื้อต่อการอนุรักษ์ ขยายแนวทางเกษตรเชิงนิเวศ และส่งเสริมความร่วมมือกับภาครัฐ
เวทีอธิปไตยทางอาหารของมาเลเซีย (FKMM) ได้เรียกร้องให้ผู้เข้าร่วมประชุมร่วมกันปฏิเสธอิทธิพลจากต่างชาติที่แทรกแซงนโยบายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิของเกษตรกร ขณะเดียวกัน ผู้แทนจากกัมพูชา ไทย และเมียนมาก็ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของฐานข้อมูลเมล็ดพันธุ์แบบดิจิทัลและการเคลื่อนไหวร่วมกันข้ามพรมแดน เพื่อรับมือกับข้อตกลงทางการค้าที่เข้มงวดและไม่เป็นธรรม
วิธีหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายนี้คือการใช้กลไกทางกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ และการสร้างข้อเรียกร้องที่หนักแน่น ตัวอย่างที่โดดเด่นของแนวทางนี้ คือความสำเร็จของเบเนดิกต์ ไคล์ จี. บาร์เบอร์ จากองค์กร MASIPAG ซึ่งเขาได้แบ่งปันไว้ในการนำเสนอของตนถึงชัยชนะครั้งสำคัญทางกฎหมายในการต่อต้านพืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) ในประเทศฟิลิปปินส์ โดยศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งให้ยุติการเพาะปลูกข้าวทอง (Golden Rice) และมะเขือม่วงบีที (Bt Eggplant) เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย
ต่อจากนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันจัดทำวาระระดับภูมิภาคที่เป็นเอกภาพ โดยเน้นการเสริมสร้างธนาคารเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ต่อต้านอนุสัญญายูพอฟ 1991(2534) และสนับสนุนกฎหมายที่เป็นธรรมต่อเกษตรกร ขยายแนวทางเกษตรนิเวศและความร่วมมือกับภาครัฐ รวมถึงการจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ออนไลน์และรณรงค์การอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ในระดับสาธารณะ
โนริ อิกนาซิโอ กล่าวปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยถ้อยคำปลุกใจ เรียกร้องให้ทุกคนลุกขึ้นสู้และยืนหยัดร่วมกันอย่างต่อเนื่องว่า “เมล็ดพันธุ์ของเรา สิทธิของเรา และอนาคตของเราขึ้นอยู่กับการลงมือร่วมกัน เราต้องยืนหยัดต่อต้านนโยบายที่พยายามลบเลือนบทบาทของเกษตรกร”