กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย – ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบายกว่า 50 คนจากทั่วภูมิภาคเอเชีย ได้ร่วมประชุมหารือระดับภูมิภาคว่าด้วยแนวทางการทำการเกษตรให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างวันที่ 28–29 พฤศจิกายน 2567 ณ กรุงเทพมหานคร การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (PEAC) โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเอิร์ธแคร์ (EarthCare Foundation หรือ ECF)
การหารือในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืนทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายสองประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการปลูกข้าว ในฐานะที่ข้าวเป็นอาหารหลักของประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ข้าวจึงเปราะบางต่อความเสี่ยงจากสภาพอากาศ และยังเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซมีเทนอีกด้วย
ผู้เข้าร่วมจากจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ได้นำเสนอผลการวิจัยล่าสุดและนวัตกรรมด้านนโยบายจากบริบทของแต่ละประเทศได้อย่างหลากหลายและน่าสนใจ
ดร. ตราน ถิ เดี่ยว (เวียดนาม จากรัฐบาลเวียดนาม) ได้นำเสนอยุทธศาสตร์ของประเทศในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในลุ่มน้ำโขง ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นการพัฒนาแปลงนาข้าวคุณภาพสูงที่ปล่อยคาร์บอนต่ำจำนวนหนึ่งล้านเฮกตาร์ และตั้งเป้าหมายสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในภาคเกษตรภายในปี 2593
คุณไซอิด อับดุลลอฮ์ (อินโดนีเซีย จากเครือข่าย KRKP) ได้นำเสนอ “โครงการอนาคต” ซึ่งมุ่งเน้นผลกระทบของเอลนีโญต่อการผลิตข้าวและระบบอาหารในเขตเมือง พร้อมทั้งเน้นย้ำบทบาทของเยาวชนและการริเริ่มส่งเสริมธุรกิจสีเขียว
นายถงซิง จู (จีน จากสถาบันเพื่อความก้าวหน้าด้านการลดคาร์บอนระดับโลก) ได้นำเสนอแนวทางคาร์บอนคู่ของจีนในภาคเกษตรและอาหาร โดยเน้นการสร้างนวัตกรรมเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะในมณฑลเสฉวนและยูนนาน
ดร. จีรนุช ศักดิ์คำดวง (ไทย จากมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย) ได้ส่งเสริมแนวคิดอธิปไตยทางอาหารผ่านเกษตรนิเวศ เกษตรอินทรีย์ และการเสริมพลังให้แก่เกษตรกร เพื่อตอบสนองต่อความเปราะบางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเฉพาะเจาะจงของประเทศไทย
คุณนอร์มิตา อิกนาซิโอ (ฟิลิปปินส์ ตัวแทนภาคประชาสังคม) ได้แสดงความเห็นวิพากษ์ต่อระบบเกษตรอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมไปสู่ระบบอาหารที่ขับเคลื่อนด้วยแนวทางเกษตรเชิงนิเวศและอิงฐานชุมชนท้องถิ่น
การอภิปรายในช่วงเสวนาได้แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่นำไปใช้ได้จริง โดย ดร. ฮวาง วัน ฟู จากเวียดนาม ได้นำเสนอโปรแกรม “3 ลด 3 เพิ่ม” และ “1 ต้อง 5 ลด” ของเวียดนาม ซึ่งมุ่งส่งเสริมการปลูกข้าวแบบคาร์บอนต่ำ ขณะที่คุณจื่อหลิง หลิน จากจีน เน้นย้ำบทบาทของเครื่องจักรกลที่ปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศ เช่น ระบบชลประทานแบบร่องน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้ว ส่วนคุณอัลฟี ปูลุมบาริต จากฟิลิปปินส์ (ตัวแทนจาก MASIPAG) ได้นำเสนอระบบเมล็ดพันธุ์ที่ขับเคลื่อนโดยชาวนา ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพทางการเกษตรและการใช้พันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการเป็นเจ้าของของชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ตลอดกระบวนการหารือ มีการเน้นย้ำแนวปฏิบัติที่สำคัญอยู่บ่อยครั้ง เช่น วิธีเปียกสลับแห้ง (AWD) การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์แบบมีส่วนร่วม ทั้งนี้ยังมีการกล่าวถึงประเด็นในภาพรวมที่สำคัญ อาทิ การมีส่วนร่วมของชุมชน การส่งเสริมบทบาทของเยาวชนและความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดจนการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างระบบอาหารที่ปรับพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นอกเหนือจากการเข้าร่วมการเสวนาในเวทีใหญ่แล้ว ผู้แทนยังได้เข้าร่วมการอภิปรายกลุ่มย่อย ซึ่งเผยให้เห็นข้อจำกัดร่วมกันในระดับภูมิภาคหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิตที่สูง การขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับสภาพภูมิอากาศอย่างชาญฉลาด ระบบสนับสนุนทางการเงินที่ยังไม่เพียงพอ รวมถึงช่องว่างด้านความรู้และศักยภาพอย่างมีนัยสำคัญ
แนวทางแก้ไขที่เสนอ ได้แก่ การเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเกษตรกรในท้องถิ่น การกระจายแหล่งทุนสนับสนุนให้หลากหลายมากขึ้น และการส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การอภิปรายได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยคนในพื้นที่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินงานและความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน
การเยี่ยมชมภาคสนามที่กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของประเทศไทย ได้ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับกิจกรรมครั้งนี้ โดยผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารระดับสูงของกรมการข้าว ได้แก่ ดร.จิตนุชา พุทธบุญ (รองอธิบดี), นายสมหมาย เลิศนา (ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการผลิตข้าว) และนายกนกนพ กลิ่นละออ (นักวิชาการเกษตร) กรมการข้าวได้นำเสนอแนวทางการปรับตัวของประเทศไทยในการผลิตข้าว โดยเน้นความก้าวหน้าในด้านระบบชลประทานที่ใช้น้ำน้อย การพัฒนาสายพันธุ์ข้าว และเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ปรับพร้อมให้ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ การเยี่ยมชมครั้งนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเชื่อมโยงนโยบาย ภาคปฏิบัติ และงานวิจัยเข้าด้วยกันในบริบทจริงของภาคการผลิตข้าวในประเทศไทยได้
การหารือปิดฉากลงด้วยการเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้มีความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ตลอดจนให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อแนวทางการแก้ปัญหาที่เน้นเกษตรกรเป็นศูนย์กลางและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรดาภาคีได้ยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การออกแบบนโยบายที่เปิดกว้างสำหรับทุกภาคส่วน รวมทั้งนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
ที่สำคัญคือ กิจกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงความพยายามเฉพาะกิจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเอิร์ธแคร์ (EarthCare Foundation) โดยต่อยอดจากการดำเนินโครงการสาธิตการปลูกข้าวที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในเวียดนามและจีนซึ่งมูลนิธิฯ ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา การหารือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับภูมิภาคระหว่างผู้ผลิตข้าว นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบาย ผ่านเวทีที่เอื้อต่อการแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อเร่งการนำกลยุทธ์ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาใช้ในการเพาะปลูกข้าว โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่การส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเกษตรกรรายย่อยในการรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การหารือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการปลูกข้าวทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย