News

การอบรมเชิงปฏิบัติการระดับสากลว่าด้วยผลักดันกลยุทธ์ฟื้นฟูพื้นที่พรุในเอเชียให้ก้าวหน้า

ปาลังการายา ประเทศอินโดนีเซีย — ความร่วมมือระดับสากลได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งในเวที “การประชุมนานาชาติว่าด้วยแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่ป่าพรุในเอเชีย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19–20 กุมภาพันธ์ 2568 ณ เมืองปาลังการายา ใจกลางของพื้นที่ป่าพรุอินโดนีเซีย การประชุมครั้งนี้จัดโดยบริษัท PT Abhinaya Carva Utama โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเอิร์ธแคร์ (EarthCare Foundation – ECF) และมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งสิ้น 52 คน พร้อมวิทยากร 13 ท่าน จากประเทศจีน ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย

พื้นที่พรุซึ่งกักเก็บคาร์บอนได้มากเป็นสองเท่าของป่าไม้ทั่วโลก ถือเป็นทรัพยากรสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ด้วยบทบาทในการควบคุมการไหลเวียนของน้ำ ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้ง ป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็ม และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนคุ้มครองชุมชนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ความเสื่อมโทรมและการใช้ประโยชน์ที่เกินขีดความสามารถของพื้นที่พรุ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน การระบายน้ำ หรือการเผาทำลาย ล้วนก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งยิ่งทำให้ปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความท้าทายผ่านการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการฟื้นฟูพื้นที่พรุด้วยวิธีชีวภาพ การสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทสำคัญของพื้นที่พรุในการฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมขนาดใหญ่ทั่วเอเชีย และการเสริมศักยภาพในการปฏิบัติงานของผู้เข้าร่วมอบรม

ศาสตราจารย์ ดร. อิร. มามัม ตูรจามัน, D.E.A. (PIC) หัวหน้าโครงการวิจัย “การฟื้นฟูป่าพรุเสื่อมโทรมในเขตร้อนด้วยแนวทางชีวภาพเพื่อเสริมสร้างศักยภาพชุมชนท้องถิ่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศอินโดนีเซีย” ได้กล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยแนะนำแนวคิด 4N (4 ไม่) ซึ่งเป็นกรอบแนวทางการฟื้นฟูป่าพรูอย่างยั่งยืน แนวคิด 4N ประกอบด้วย “ไม่เผา ไม่ใช้พลาสติก ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และไม่ใช้พืชต่างถิ่น” โดยเน้นการปลูกพืชท้องถิ่นที่เหมาะสมกับระบบนิเวศของป่าพรูเป็นหลัก

ศาสตราจารย์เชิงจง หวัง จากมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งประเทศจีน (Northeast Normal University – NENU) ได้นำเสนอแนวทางสำคัญในการฟื้นฟูพื้นที่พรุ ซึ่งประกอบด้วยการยกระดับชั้นน้ำใต้ดิน การปรับโครงสร้างหน้าดินใหม่ และการผสมผสานระหว่างการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ (เช่น การปลูกมอสสแฟกนัม) โดยอ้างอิงจากประสบการณ์การฟื้นฟูในเทือกเขาชางไป๋ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูโครงสร้างระบบนิเวศในพื้นที่พรุเสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์อีกครั้ง

อีกหนึ่งแนวทางที่ล้ำสมัย คือ “แอโร-ไฮโดรคัลเจอร์” (Aero-Hydroculture: AHC) ซึ่งศาสตราจารย์มิตสึรุ โอซากิ (Prof. Mitsuru Osaki, Ph.D.) ประธานสมาคมพื้นที่พรุแห่งประเทศญี่ปุ่น และศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยฮอกไกโด เป็นผู้นำเสนอว่า วิธีการดังกล่าวถือเป็นการปฏิวัติการเพาะปลูกในพื้นที่พรุที่มีน้ำขัง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ระบบระบายน้ำซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศอีกต่อไป AHC ใช้แนวคิดจำลองระบบนิเวศของพื้นที่พรุธรรมชาติ โดยรักษาระดับน้ำใต้ดินให้สูงผ่านการบริหารจัดการน้ำแบบเน้นการกักเก็บ และเพิ่มธาตุอาหารและออกซิเจนผ่านปุ๋ยหมักธรรมชาติ ถ่านชีวภาพ และการบำบัดด้วยจุลินทรีย์ นายเอริก เวอร์คิอุส (Mr. Eric Verchius) แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โบกอร์ (Institut Pertanian Bogor: IPB University) ได้ยืนยันว่า วิธีการนี้ช่วยเพิ่มผลผลิตในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าระบบรากพืชมีการเชื่อมโยงกับไมคอร์ไรซาระดับอาร์บัสคูลาร์ (arbuscular mycorrhizae) ที่แข็งแรงขึ้น และโครงสร้างดินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้เวลาจะผ่านไปถึงสี่ปีก็ตาม

แนวทางด้านจุลินทรีย์ได้รับการอธิบายเพิ่มเติมโดย ดร.ซักรี ฟิตรี บิน อับ อาซีซ จากมหาวิทยาลัยปูตรามาเลเซีย วิทยาเขตบินตุลู รัฐซาราวัก (UPMKM) ซึ่งได้เน้นย้ำถึงแนวคิด bioaugmentation หรือการเสริมจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เฉพาะลงในพื้นที่พรุ เช่น แบคทีเรียที่ย่อยสลายมีเทน เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซและเพิ่มความมั่นคงของดิน แนวคิด biostimulation หรือการกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีอยู่เดิมผ่านการเติมอินทรียวัตถุในดิน การใช้ mycorrhizal inoculation ซึ่งเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างเชื้อรากับพืชเพื่อเสริมความสามารถในการอยู่รอดและเติบโต และสุดท้ายคือการใช้ microbial consortia หรือกลุ่มจุลินทรีย์ที่ทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของดินและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในดิน

ศาสตราจารย์ เหงียน โว เชา งัน แห่งมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ ประเทศเวียดนาม เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคำนวณสมดุลน้ำในการจัดการพื้นที่พรุ โดยอธิบายว่า การทำแผนที่ระดับความสูงของพื้นดินอย่างแม่นยำช่วยแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนย่อยเพื่อการควบคุมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถป้องกันแนวปฏิบัติที่เป็นอันตราย เช่น การขุดคลองลาก ซึ่งเร่งการออกซิไดซ์ ของพรุและก่อให้เกิดไฟไหม้ได้

ขณะเดียวกัน นักวิจัยเล ฟัต กว๋อย จากศูนย์วิทยาศาสตร์และนิเวศวิทยาสิ่งแวดล้อม (CESE) ประเทศเวียดนาม ได้อธิบายถึงยุทธศาสตร์ภายใต้การนำของรัฐบาลเวียดนามในการอนุรักษ์พื้นที่พรุในภูมิภาคอูมินห์และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งประกอบด้วยการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ทางกฎหมาย การบริหารจัดการไฟและแหล่งน้ำเชิงบูรณาการ การทำเกษตรเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน และความพยายามในการอนุรักษ์ที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลาง

แนวทางของประเทศไทยในการปกป้องพื้นที่พรุประกอบด้วยการเฝ้าระวังและการมีส่วนร่วมของชุมชนในท้องถิ่น นายประสิทธิ์ สถิรวณิชย์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพระเทพรัตนราชสุดาฯ เปิดเผยถึงความสำเร็จของการลาดตระเวนแบบ SMART (SMART Patrol) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การล่าสัตว์ป่าและการตัดไม้ทำลายป่า

ดร. กอบศักดิ์ วันธงไชย จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเทศไทย เน้นย้ำถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน โดยยกกรณีการฟื้นฟูพื้นที่พรุควนเคร็งเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การเสริมสร้างความเป็นเจ้าของในระดับท้องถิ่น การนำภูมิปัญญาพื้นบ้านมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้ ดร. อดิชัยยะ จากศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการจัดการพื้นที่พรุเขตร้อนอย่างยั่งยืน (CMTROP) ได้ยืนยันแนวทางดังกล่าวโดยเน้นการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการพื้นที่พรุ เช่น ระบบชลประทานที่อิงกับจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง การอนุรักษ์แหล่งน้ำ และวิธีการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกอย่างยั่งยืน

ผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการได้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ของตนออกไปนอกห้องประชุม ด้วยการลงพื้นที่ชมโครงการฟื้นฟูพื้นที่พรุในจังหวัดกาลิมันตันตอนกลางด้วยตนเอง ที่พื้นที่วิจัย Campeat KHDTK Tumbang Nusa ได้เห็นการฟื้นฟูพื้นที่พรุขนาด 50 เฮกตาร์ที่ประสบผลสำเร็จ โดยมีการบุกเบิกการใช้ไมคอร์ไรซา ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ร่วมกับรากพืช เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชท้องถิ่นอย่างได้ผล

ที่หมู่บ้านตุมบังตาไฮ ผู้เข้าร่วมได้เดินชมพื้นที่พรุขนาด 20 เฮกตาร์ ซึ่งเป็นที่ดินของเกษตรกรท้องถิ่นที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูด้วยแนวคิด 4N พร้อมทั้งได้ชมการสาธิตเชิงปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการผลิตกระถางปุ๋ยหมักสำหรับเพาะกล้าไม้และพืชเศรษฐกิจ กระถางที่ขึ้นรูปนี้ทำจากแหนแดง มูลไก่ เศษพืชที่ย่อยสลายแล้ว ผสมด้วย EM4 เพื่อเร่งการย่อย และใช้มูลวัวเป็นตัวยึดเกาะ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในพื้นที่เพาะชำใกล้เคียง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ถุงพลาสติกอีกต่อไป

อีกจุดเด่นที่น่าสนใจคือแปลงสาธิตการปลูกผัก ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่ซึ่งเดิมไม่มีประสบการณ์ด้านการเกษตรบนพื้นที่พรุ สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างน่าทึ่ง พืชทดลองทุกชนิดให้ผลผลิตคุณภาพดีเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการเกษตรบนพื้นที่พรุได้อย่างชัดเจน

ถัดจากพื้นที่เพาะปลูก มีจุดสาธิตการผลิตน้ำผึ้งจากผึ้งกีลูลุต (ผึ้งไม่มีเหล็กใน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน การทดลองเก็บน้ำผึ้งพบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 276 มิลลิลิตรต่อเดือนต่อรัง ซึ่งให้ข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาโครงการเลี้ยงผึ้งในอนาคต ดร.มหานี จากคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยปาจาจารัน จังหวัดชวาตะวันตก กล่าวว่า ผึ้งกีลูลุตสามารถเลี้ยงได้ง่าย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผสมเกสรของพืชในระบบวนเกษตร และเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน โดยผึ้งหนึ่งรังสามารถผลิตน้ำผึ้งได้สูงสุดถึง 1 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ 110,000 ถึง 700,000 รูเปียห์อินโดนีเซีย

ในคูน้ำของหมู่บ้านแห่งนี้ มีแปลงสาธิตการเลี้ยงปลาในระบบวนเกษตรน้ำจืด (Silvofishery) ซึ่งผสานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเข้ากับการปลูกพืชแบบวนเกษตร โดยคูระบายน้ำถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นบ่อเลี้ยงปลา พร้อมทั้งปลูกไม้ผลต่าง ๆ เช่น กล้วย สะตอ ฝรั่ง และมาเตา (ลำไย คริสตัล) ไว้ตามแนวคันดิน นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการเลี้ยงปลาในกระชังลอยน้ำบริเวณส่วนที่ลึกของคูน้ำอีกด้วย

แม้ว่าการทดลองนำร่องด้านเกษตรเชิงนิเวศและวนเกษตรจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ความสำเร็จเบื้องต้นที่เกิดขึ้น รวมถึงศักยภาพในการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงปลาในพื้นที่พรุ ก็สามารถนำไปขยายผลสู่พื้นที่พรุอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนกับระบบนิเวศในพื้นที่พรุได้

การอบรมเชิงปฏิบัติการตลอดสองวันสิ้นสุดลงด้วยพิธีปิดอย่างเรียบง่าย ณ Campeat

โดยภาพรวม กิจกรรมครั้งนี้ได้ตอกย้ำถึงพันธสัญญาร่วมกันของนักปฏิบัติและนักวิจัยทั่วทั้งเอเชียในการผลักดันการฟื้นฟูป่าด้วยชีววิธีให้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการฟื้นฟูพื้นที่พรุที่เสื่อมโทรม การรวมตัวของผู้แทนจากหลายประเทศที่เผชิญกับความท้าทายด้านภูมิอากาศในลักษณะคล้ายคลึงกัน ได้เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เชิงปฏิบัติและส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็ง และการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างมีความหมาย นอกจากนี้ ยังได้วางแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ ECF ในการสนับสนุนความร่วมมือที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ภูมิอากาศ และวิถีชีวิตของผู้คน

Scroll to Top