สุลต่านคูดารัต/โคตาบาโต ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในภาคเกษตรและสนับสนุนแนวทางการทำเกษตรอย่างยั่งยืน เครือข่ายเมล็ดพันธุ์เกษตรกร (Farmers Seed Network: FSN) และองค์กรริเริ่มระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมพลังชุมชน (Southeast Asia Regional Initiatives for Community Empowerment: SEARICE) ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งสำคัญภายใต้โครงการ SEEDS (Securing the Ecosystem by Enhancing Diversity and Sustainability – การเสริมสร้างความมั่นคงของระบบนิเวศด้วยการเพิ่มความหลากหลายและความยั่งยืน) ระหว่างวันที่ 3–5 เมษายน 2568 ณ ประเทศฟิลิปปินส์
โครงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ได้นำผู้เข้าร่วมชาวจีนจำนวน 11 คนได้ไปเยือนชุมชนเกษตรกรรมในจังหวัดนอร์ทโคตาบาโตและสุลต่านคูดารัต เพื่อศึกษานวัตกรรมด้านการอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ การเกษตรอินทรีย์ และการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย โดยได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มเกี่ยวกับการผลิต การเก็บรักษา และการตลาดเมล็ดพันธุ์ พร้อมทั้งเยี่ยมชมแปลงทดลอง ธนาคารเมล็ดพันธุ์ของชุมชน และสถานที่ผลิตปุ๋ยอินทรีย์อีกด้วย
จุดเด่นของการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้คือเรื่องราวที่ถ่ายทอดจากเกษตรกรชาวฟิลิปปินส์ซึ่งมีบทบาทในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและข้าวโพด หนึ่งในนั้นคือคุณเอดูอาร์โด เอดุลลันเตส ซีเนียร์ เกษตรกรนักปรับปรุงพันธุ์และประธานสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผักกะมาราฮัน ในเขตเพรสซิเดนต์โรฮัส จังหวัดนอร์ทโคตาบาโต แม้จะไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ แต่คุณเอดุลลันเตสสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ถึงสองสายพันธุ์ ได้แก่ EE1 และ Wado 3 จากทักษะที่ตนสั่งสมจากการเข้าร่วมโรงเรียนเกษตรกรภาคสนามด้านการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบมีส่วนร่วม ของ SEARICE เมื่อปี 2543 ข้าวอินทรีย์ทั้งสองสายพันธุ์นี้ให้ผลผลิตใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์ที่ใช้ในการค้า แต่มีความโดดเด่นด้านกลิ่นหอมและรสชาติที่ดีกว่า ทำให้สามารถจำหน่ายได้ในราคาสูงถึง 65 เปโซต่อกิโลกรัม หรือสูงกว่าราคาขายปกติในตลาดราวร้อยละ 30-35
“พวกเราเลิกพึ่งพาเมล็ดพันธุ์และสารเคมีจากภายนอกแล้ว” เอดุลลันเตสกล่าว ซึ่งสมาคมของเขาได้กำหนดให้ปฏิบัติตามแนวทางเกษตรอินทรีย์ “เมล็ดพันธุ์ของเราสามารถเติบโตได้ดีแม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ช่วยลดต้นทุน และรักษาผืนแผ่นดินของเราไว้”
คณะผู้แทนยังได้เยี่ยมชมการปฏิบัติด้านเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูที่ดำเนินการโดยคุณเรย์ นิทูรา ประธานสมาคมเกษตรอินทรีย์เมืองคีดาปาวัน บนพื้นที่ฟาร์มขนาด 3 เฮกตาร์ในชานเมืองคีดาปาวัน จากพื้นที่รกร้างที่เคยถูกทิ้งไว้ ได้รับการพลิกฟื้นให้กลายเป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่อุดมสมบูรณ์ภายใต้การดูแลของเขา ตลอดระยะเวลากว่าสามปี คุณนิทูราได้พัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ประกอบด้วยสวนผลไม้ แปลงผัก และแปลงนาข้าวอย่างกลมกลืน
“การเปลี่ยนผืนดินรกร้างให้กลายเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากและมีต้นทุนสูงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อยึดแนวทางเกษตรอินทรีย์” นิทูราเล่า “แต่เมื่อผ่านความพยายามมายาวนานถึงสามปี ความเหนื่อยยากค่อย ๆ จางหาย เมื่อผลลัพธ์แห่งความมุ่งมั่นเริ่มปรากฏให้เห็น”
นิทูรามีบทบาทอย่างแข็งขันในการปรับปรุงพันธุ์เมล็ดพันธุ์ และแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชกับเกษตรกรรายอื่น เพื่อนำมาทดลองปลูกในแปลงของตนเองเพื่อทดสอบความเหมาะสมกับพื้นที่ โดยในขณะนี้เขามุ่งเน้นการค้นหาพันธุ์ข้าวที่ทนแล้งได้ดี เพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่เกษตรกรในท้องถิ่นมักเผชิญ นั่นคือการขาดแคลนน้ำสำหรับชลประทานและสภาพอากาศที่แห้งแล้งเป็นระยะๆ
ที่เมืองอาระกัน จังหวัดนอร์ทโคตาบาโต คณะผู้แทนได้เห็นผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมจากความร่วมมือระหว่าง SEARICE และรัฐบาลท้องถิ่น โดยในปี 2566 เทศบาลได้ออกกฎหมายว่าด้วยการเกษตรยั่งยืน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญทางนโยบาย โดยร่างขึ้นโดยเกษตรกรและได้รับการสนับสนุนจาก SEARICE เพื่อคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร เนื้อหาสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ การห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) การเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ในชุมชนอย่างเป็นระบบ การคุ้มครองพันธุ์พืชที่เกษตรกรพัฒนาขึ้นเองตามกฎหมาย และการสนับสนุนการปรับปรุงพันธุ์พืชพื้นบ้านอย่างมีแรงจูงใจ
เจมส์ ดูเลย์ นักวิชาการเกษตรประจำเทศบาล ยังได้นำคณะเยี่ยมชม “ฟาร์มธรรมชาติแบบบูรณาการอาระกัน” ซึ่งมีพื้นที่กว่า 4 เฮกตาร์ โดยเป็นแปลงต้นแบบที่ใช้เทคนิคเกษตรอินทรีย์ต้นทุนต่ำแบบ JADAM ภายในฟาร์มแห่งนี้ยังอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมืองบนพื้นที่สูงไว้มากกว่า 300 สายพันธุ์ พร้อมทั้งมีธนาคารเมล็ดพันธุ์เพื่อรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมอีกด้วย
“ฟาร์มแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด และได้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับรัฐบาลท้องถิ่น องค์กรภาคประชาสังคม และผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนที่ต้องการศึกษาและนำแนวทางเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนของอาระกันไปประยุกต์ใช้” ดูเลย์กล่าว
คณะผู้แทนจากประเทศจีนได้แสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อองค์กร SEARICE และเกษตรกรชาวฟิลิปปินส์ สำหรับองค์ความรู้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งที่ได้รับจากโครงการแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะในเรื่องนวัตกรรมของเกษตรกรในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของตนเอง และการที่ SEARICE สามารถประสานความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพกับรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมสิทธิของเกษตรกรในการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์
คุณซ่ง ซิน จาก FSN เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าเกษตรกรรายย่อยในฟิลิปปินส์และจีนต่างเผชิญกับความท้าทายคล้ายคลึงกันในด้านความหลากหลายทางพันธุกรรมและระบบอาหาร โดยกล่าวว่า การแลกเปลี่ยนนี้ไม่เพียงเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการเกษตรระหว่างฟิลิปปินส์และจีนเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงพลังของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยเกษตรกรในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย
“การแลกเปลี่ยนเช่นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแลกเปลี่ยนและต่อยอดแนวคิด” นอร์มิตา อิกนาเชียโอ กล่าว “เมื่อเกษตรกรเป็นผู้นำในการสนทนา เราจึงสามารถสร้างระบบที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและระบบนิเวศได้อย่างแท้จริง”
โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Learning Exchange Program) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SEEDS หรือชื่อเต็มว่า การเสริมสร้างความมั่นคงของระบบนิเวศด้วยการเพิ่มความหลากหลายและความยั่งยืน ซึ่งดำเนินการโดย SEARICE ด้วยการสนับสนุนจากมูลนิธิ EarthCare โครงการ SEEDS มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางพันธุกรรมในแปลงเกษตร สนับสนุนศักยภาพของเกษตรกรรายย่อยในการจัดการเมล็ดพันธุ์ และผลักดันนโยบายที่คุ้มครองสิทธิของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม